เมตตาของหลวงพ่อวิริยังค์ (ประทับในดวงใจไม่รู้ลืม)
จากประสบการณ์ตรงของข้าพเจ้าเอง ครั้งหนึ่งเมื่อประมาณปี พ.ศ. 2547-2550 หลังจากเรียนจบหลักสูตรครูสมาธิ ได้มีโอกาสอุปสมบท ณ วัดธรรมมงคล (ขณะนั้นมีพระอุโบสถหลังเก่า) มีพระเทพ เจติยาจารย์ (หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร) เจ้าอาวาส วัดธรรมมงคล เป็นพระอุปัชฌาจารย์ พระครูปลัดบุรมย์ เตชธมฺโม เป็นพระอนุสาวนาจารย์ มีพระครูสังฆรักษ์บุญส่ง สิริธมฺโม เป็นพระกรรมวาจารจารย์ เมื่ออุปสมบทแล้วด้วยกุฎิไม่ว่างจึงได้เดินทางไปจำพรรษาแรก ณ วัดเจริญมณกิจ (วัดหลังศาล) จ. ภูเก็ต ซึ่งเป็นวัดที่พระราชนิโรธรังสี (หลวงปู่เทสก์ เทสก์รังสี) เคยสร้างไว้เมื่อสมัยเดินทางมาเผยแผ่ธรรมะทางภาคใต้ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2494 ซึ่งขณะนั้นมีท่านพระโสภณคุณาภรณ์ (หลวงปู่มหาเนียม สุวโจ) ท่านเป็นสหธรรมมิกกับหลวงพ่อวิริยังค์ด้วย ทราบว่าไม่นานมานี้ท่านมรณภาพ ณ วัดป่าภูริทัตปฎิปทาราม จ.ปทุมธานี อัฐิท่านกลายเป็นพระธาตุเช่นกัน อยู่ที่นั้นพระท่านฉันข้าวแค่มื้อเดียว ฉันในบาตร ตอนเช้าต้องตื่นตี 3 พระที่นั้นมีแค่ไม่กี่รูป ข้าพเจ้าได้ประสบการณ์ที่มีคุณค่ายิ่งทั้งทางโลก และทางธรรม เช่น ได้ขึ้นเทศน์เป็นครั้งแรกต่อหน้าญาติโยมประมาณ 30-50 คน
หลังจากออกพรรษารับกฐินแล้ว ได้เดินทางกลับมา วัดธรรมมงคล ที่นี่ต่างจากที่วัดหลังศาลมาก พระฉัน 2 มื้อ แต่ข้าพเจ้ายังฉันมื้อเดียวอยู่ผอมตัวลีบเลย มาอยู่ในกรุงเทพก้เร่งปฎิบัติธรรมเต็มที่ได้ช่วยงานหลวงพ่อแรก ๆ ไปนำนักศึกษาครูนั่งสมาธิทุกวัน หากมีคณะนักเรียนมาอบรมสมาธิก็นำนั่งสมาธิตลอดมา และได้ช่วยงานอื่นแบ่งเบาภาระหลวงพ่อบ้างตามสมควร ได้พำนักอยู่กุฎิตำหนัก ซึ่งเป็นกุฎิที่ใหญ่ที่สุดในวัดหลวงพ่อวิริยังค์ท่านพำนักอยู่ด้วย มีทั้งหมด 4 ส่วน ตอนแรกข้าพเจ้าก็ไม่มีห้องพักเพราะห้องไม่ว่าง จึงทำความสะอาดปัดฝุ่นเอาเสื่อมาปู่เพื่อสำหรับไว้เอนหลัง เก็บสำภาระ ตรงบริเวณนอกชาน ระหว่างกุฎิเขาจะมีลูกกรงแบบปูนกั้นระหว่างกัน ความกว้างประมาณ 1 ศอก ยาวประมาณ 3 เมตร แค่นั้น แต่ยุงและฝุ่นก็เยอะน่าดู ก็ทนเอาเป็นพระกรรมฐานอยู่ได้ทุกที่ไม่คิดอะไรมาก (ปราชญ์บอกว่าอยู่อย่างต่ำแต่ทำอย่างสูง) อยู่ได้พักใหญ่ ๆ มีพระใหม่ลาสิกขา ท่านพระมงคล เป็นพระอุปัฎฐากขณะนั้น (ปัจจุบันเป็นทิดมงคล) ได้บอกให้ย้ายไปอยู่ในห้องซึ่งห้องนั้นอยู่ใกล้กับห้องพักหลวงพ่อวิริยังค์แค่มองผ่านหน้าต่างห่างกันประมาณ 50 เมตรเห็นจะได้
ต่อมาในพรรษาที่ 2 ใก้ลออกพรรษาได้ปรารภขึ้นในใจว่า 'ใกล้ออกพรระษาแล้วยังไม่ได้ปฎิบัตเต็มที่เลย' หมายถึงว่ายังทำความเพียรไม่เต็มที่ จึงได้ตั้งสัจจะอธิษฐานในใจว่า ตั้งแต่วันนี้จนออกพรรษาจะเร่งความเพียรให้เต็มที่ โดดตั้งใจจะไม่นอน (จะไม่เอนหลังนอนเลย) และแค่ฉันมื้อเดียว บางครั้งอดข้าว 3 วันฉันทีหนึ่ง บางวันไม่ฉันเลยก็มี พร้อมทั้งถือหลวงพ่อเป็นตัวอย่างซึ่งท่านเคยเร่งความเพียรโดยไม่นอนถึง 3 ปี เราทำแค่นี้ยังน้อยไปด้วยซ้ำ หลังจากนั้นทำความเพียร เดินจงกรมและนั่งสมาธิตลอดทั้งวันทั้งคืน ในคืนหนึ่งยังจำไม่ลืม วันนั้นได้นั่งสมาธิไม่นอนเลยทั้งวันทั้งคืนเช่นเดิมพอตอนตี 3 เห็นจะได้ ขณะนั้นกำลังนั่งสมาธิอยู่แต่ได้ยินหลวงพ่อเรียกขณะอยู่ในสสมาธินั่นเอง แรก ๆ ก้ไม่ได้สนใจแต่เสียงนั้นก็ดังมาใกล้ เรื่อย ๆ จึงออกจากสมาธิได้ยินหลวงพ่อเรียกว่า 'เณร ๆ '
ซึ่งขณะนั้นพระเณรหลับกันหมดแล้ว ไฟก็ปิดมืดหมดเลย พอข้าพเจ้าเปิดประตูห้องก็มองเห็นหลวงพ่อเดินขึ้นบันไดมาทั้งที่มืด ๆ นั่นแหละ ข้าพเจ้ากังวัลในใจกลัวท่านจะล้มเพราะมองเห็นสลัว ๆ ข้พเจ้าก็เข้าไปกราบแทบเท้าท่าน หลังจากนั้นท่านถามข้าพเจ้าว่า 'เณรอยู่ห้องไหน ?' จึงตอบท่านไปว่า 'เณรอยู่ห้องนี้ครับ' พร้อมชี้นิ้วไปที่ห้องพักของสามเณร ซึ่งมีเณรที่คอบปรนนิบัตท่านอยู่ประมาณ 7 รูปด้วยกัน เมื่อบอกท่านแล้วก็ค่อยก้มจากท่านมาเคาะประตูที่เรียกสามเณรที่ต่างก้หลับกันเงียบสนิททีเดียว ปรากฎว่าเคาะจนเสียงดังก้ไม่มีสามเรรรุปไหนตื่นขึ้นมาสักรูปเดียว จึงเดินมารายงานหลวงพ่อฯ ซึ่งยืนรออยู่ห่าง ๆ ได้รายงานท่านไปว่า 'ไม่มีใครตืนเลยครับ' หลังจากนั้นหลวงพ่อวิริยังค์ ท่านจึงถามว่า 'แกเห็นตาชั่งมั้ย?' ได้ตอบท่านไปว่า 'ไม่เห็นครับ' ท่านจึงถามว่าห้องพระมงคลอยู่ห้องไหน ข้าพเจ้าจึงตอบท่านไปว่า 'อยู่ทางโนน้นครับ เดี่ยวผมไปเรียกให้ครับ' ข้าพเจ้าก็เดินไปเคาะเรียกก้ไม่ได้ยินเสียงตอบรับแต่อย่างใด จึงเดินกลับมารายงานหลวงพ่อฯว่า 'ไม่มีใครตื่นเลยครับ' ทั้งหลวงพ่อนและข้าพเจ้าก็ต่างมอง ๆ ไปทางห้องพระมงคล สักพักพระมงคลก็ตื่นและเปิดไฟในห้อง ข้าพเจ้ารีบไปบอกว่าหลวงพ่อฯมาหา พอเดินตามมาด้วยกัน หลวงพ่อฯ ก็ถามอีกว่า 'แกเห็นตาชั่งมั้ย' หลังจากนั้นหลวงพ่อก้เดินกลับห้องส่วนพระมงคลก็เดินตามหลังไป ส่วนข้าพเจ้าก็กลับห้องมานั่งสมาธิต่อจนเกือบสว่าง ตอนเช้าก็บิณทบาตรฉันเช้าก็ลงเดินจงกรมตามปกติ วันต่อมาขณะนั่งสนทนาที่ห้องรับแขกชั้นล่างอยู่กับสามเณรหลายรูปซึ่งทุกรูปในที่นั้นได้เป็นสามเณรที่ได้รับคัดเลือกมาเป็นผู้รับใช้ใกล้ชิดหลวงพ่อฯ ทั้งสิ้น เมื่อหลวงพ่อเดินผ่านท่านก็พูดขึ้นว่า
'เณร ๆ พวกแกเห็นตาชั่งมั้ย' ฟังแล้วสามเณรทุกรูปก็รีบเดินตามหลวงพ่อขึ้นห้องพักของท่านไปหมด ส่วนข้าพเจ้าก็กลับห้องมานั่งสมาธิแล้วมาพิจารณาถึงคำพูดของหลวงพ่อฯ ที่ว่า 'แกเห็นตาชั่งมั้ย' หลวงพ่อต้องการจะบอกอะไรเราหรือเปล่า นั่งพิจารณาอยู่นาน ขณะทำสมาธิอยู่นั้น ก้ได้รับคำตอบว่าหลวงพ่อต้องการจะมาเตือนข้าพเจ้าในเรื่องการปฎิบัติที่เคร่งครัดจนเกินไป เปรียบเสมือนตาชั่งที่เขาเอาไว้ชั่งน้ำหนัก คือให้เราปฎิบัติพอดี คือทางสายกลางนั้นเอง พอคิดได้ น้ำตามันก้ไหล เพราะตื่นตันใจที่่านเมตตาเดินขึ้นบันไดแบบมืด ๆ เพื่อมาเตือนศิษย์ที่โง่เขลาคนนี้ ให้ตาสว่าง หลังออกพรรษาแล้วข้าพเจ้าก็ปรับเปลี่ยนตัวเองเสียใหม่ ปฎิบัติตัวให้เหมือนพระรูปอื่น ไม่ปฎิบัติเคร่งจนเกินไปบางครั้งอาจเป็นที่รังเกียจของหมู่คณะได้ที่กลายเป็นว่าทำตัวเด่นเกินไป จนกลายไปเป็นข่มคนอื่นไปในสายตาคนอื่น แต่ตัวเราไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นเลย ข้าพเจ้ามีความซาบซึ้งในเมตตาของหลวงพ่อวิริยังค์ฯ ที่ประทับในดวงใจข้าพเจ้าไม่รู้ลืมเลยทีเดียว
ทองใหญ่ อ.
|