เมื่อ ปี พ.ศ. 2548 ขณะนั้นผู้เขียนได้บวชเป็นพระอยู่วัดธรรมมงคล ที่จริงบวชเมื่อปี พ.ศ. 2547 หลังจากบวชแล้วในพรรษาแรกไม่ได้จำพรรษาที่วัดธรรมมงคล แต่ได้ไปจำพรรษา ที่วัดเจริญสมณกิจ (หลังศาล) จังหวัดภูเก็ต กับท่านพระเดชพระคุณพระโสภณคุณาธาร (หลวงปู่มหาเนียม สุวโจ) ท่านเป็นเจ้าอาวาส ขณะนั้นซึ่งท่านเป็นสหธรรมิกกับท่านพระอาจารย์หลวงพ่อวิริยังค์ สมัยอยู่ปฎิบัติกับหลวงปู่มั่นฯ พอออกพรรษาแล้วได้กลับมาอยู่วัดธรรมมงคล และได้รับมอบหมายจากท่านพระครูปลัดสุพล ขันติพโล ผู้อำนวยการสถาบันพลังจิตตานุภาพในสมัยนั้น ให้ไปดูแลสาขาที่กำลังเปิดใหม่หลังจากดูแลวัดพุทธบูชาจบรุ่นไปแล้ว วันหนึ่งท่านพระครูปลัดสุพล ได้กลับมาจากพาคณะชินนสาสมาธิไปมินิธุดงค์ ที่จังหวัดพังงา หลังจากมีคนตายจากเหตุการสินามิใหญ่ที่ภาคใต้ พอกลับมาเจอผู้เขียนซึ่งขณะนั้นได้ดูแลสาขาวัดใหม่เสนา พร้อมคณะที่ร่วมบุกเบิกมาด้วยกัน เช่น พันเอกสมศักดิ์ บำรุงศิลป์ อ.ดนัย ไกรวิทย์ ฯลฯ
วันนั้นท่านได้ถามผู้เขียนว่า 'มีวัดหนึ่งที่จังหวัดภูเก็ต อยู่บนเนินเขา ไม่ทราบว่าเจ้าอาวาสชื่ออะไร ท่านว่าไม่แน่ใจว่า ชื่อพระอาจารย์เสงี่ยม ๆ หรือเปล่า'
ผู้เขียนได้ตอบท่านไปว่า 'ผมไม่ทราบครับ' ท่านบอกอีกว่าบ้านเกิดคุณอยู่แถวนั้นนึกว่าจะทราบ ท่านอยากหาสถานที่ขยายสาขาต่อไป ด้วยใจวิตกกังวลอยู่ว่าท่านอุตส่าถามเรา แต่เราก็ดันไม่ทราบ เรื่องนี้มันก็ค้างคาใจผู้เขียนอยู่ไม่น้อย พอคุยกันจบต่างก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ผู้เขียนมีหน้าที่ช่วยดูแลความเรียบร้อย และหน้าที่หลักคือ นำสวดมนต์ นำเดินจงกรม นำนั่งสมาธิ เมื่อก่อนเขาให้พระนำตลอด ยุคหลังพระที่มาช่วยส่วนนี้มีน้อยจึงให้อ.ผู้สอนนำแทนไป
หลังจากนั้นผ่านไป 1 วัน ยังจำได้ไม่ลืมเลือน ขณะนำนั่งสมาธิที่วัดใหม่เสนานิคม สาขา 4 ได้พานำคณะนักศึกษาครูสมาธิ รุ่นแรกของที่นี่ เพื่อทำสมาธิตามปกติ บังเอิญวันนั้นจิตนิ่งสงบดี จิตได้เกิดรวมครั้งใหญ่ รู้สึกว่าจิตสงบ เมื่อคำบริกรรมหายไป จิตรวมเป็นหนึ่ง เริ่มหมดความรู้สึกทางกายหยาบ ไม่ทราบแล้ว่า นั่งอย่างไร แขนขาวางอยู่อย่างไร เพราะจิตได้ผ่านภวังค์อย่างรู้ตัว ไปอยู่ในอาทิสมานกายแล้ว มีแต่จิตที่เหลือแต่ผู้รู้อยู่ จิตเกิดความเบาสบาย เอิบอิ่ม ปีติ มีความสุขสุดประมาณ เมื่อความสุขหายไปเหลือแต่ความรู้อยู่ในความว่างเปล่า แต่มีความรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา ไม่นานเกิดกระแสจิต สว่างไสวไปหมดทั้งโลก ได้สมัผัสกับความสุขพิเศษจากกายทิพย์ แต่จิตยังอยู่ในความว่างเปล่าคืออยู่ในอากาศธาตุ เหลือแต่ความรู้อันเดียว จึงได้ย้อนทวนกระแสจิตนั้นไปสู่ที่ตั้งของผู้รู้ เสร็จแล้วก็ได้ตั้งหน่วยงานที่ต้องการทราบขึ้นมาว่า 'วัดที่ท่านพระครูปลัดสุพลถาม และเจ้าอาวาสท่านนั้นชื่อว่าอะไร' ได้ตอบมาให้ทราบว่า ชื่อนั้น ๆ แต่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อ จึงได้ทำการย้อนทวนกระแสจิตซ้ำไปอีกครั้งหนึ่งและตั้งคำถามแบบเก่านั้นแหละ ปรากฏว่าได้รับคำตอบมาเหมือนเดิมทุกอย่าง ทำให้มีความมั่นใจว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เมื่อปฎิบัติหน้าที่จบจะต้องนั่งรถกลับวัดธรรมมงคล พร้อมท่านพระครูปลัดสุพล นั่งเบาะเดียวกันพอดี ขณะนั่งรถไปจึงได้เรียนบอกท่านไปด้วยความมั่นใจว่า
'วัดและชื่อเจ้าอาวาสที่ท่านถามผมเมื่อวานผมทราบเล้วครับว่าชื่ออะไรก็บอท่านไปว่า ชื่อวัดป่าอร่ามครับ และเจ้าอาวาสก็ชื่อ พระอาจารย์เสมียน ครับ ไม่ใช่พระอาจารย์เสงี่ยมอย่างที่ท่านอาจารย์ว่า'
เมื่อกลับถึงวัดธรรมมงคลแล้ว อยากจะพิสูจน์ความจริงให้แน่ใจว่าถูกต้องจะได้ไม่เป็นการโกหกพระอาจารย์ จึงได้ยืมโทรศัพท์ญาติโยม (เพราะตอนบวชจะไม่มีโทรศัพท์ใช้เลย) แล้วต่อสายไปถามพี่สาวที่อยู่จังหวัดภูเก็ตว่า รู้จักวัดตรงที่เนินเขาตรงนั้นไหม พี่สาวก็ไม่ทราบ พี่เขยก็ไม่ทราบ แต่จะขับรถไปถามให้แล้วกัน เพราะผู้เขียนไม่ได้บอกพี่สาวพี่เขยว่าทราบแล้ว จึงทำเป็นไม่ทราบเสียก่อน พอช่วงบ่ายอีกวันพี่สาวได้ส่งข่าวมาว่า วัดนั้นชื่อวัดป่าอร่าม เจ้าอาวาสชื่อ พระอาจารย์เสมียน ตกลงว่าแม่นยำจริงๆ นี่เป็นเครื่องยืนยันว่าสิ่งที่หลวงพ่อฯท่านสอนใครก็สามารถทำได้จนเห็นผลได้จริง ไม่ได้โอ้อวดใคร เป็นเพียงพยานหลักฐานทั้งบุคคลที่มีอยู่จริงเท่านั้น เป็นสัจธรรมแท้แน่นอน ปฎิเสธยากครับ
ทองใหญ่ อ.
|