สถิติ
เปิดเมื่อ24/05/2012
อัพเดท8/10/2015
ผู้เข้าชม270076
แสดงหน้า317792
สินค้า
ปฎิทิน
May 2025
Sun Mon Tue Wed Thu Fri Sat
    
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31




จิตเสื่อม ตอนที่ 1

อ่าน 526 | ตอบ 0
เมื่อปี 2540 ตอนนั้นไปจำพรรษาอยู่วัดนิโรธรังสี อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา วัดนี้สร้างไว้ตั้งแต่ปี 2492 นำโดยหลวงปู่จันทร์โสมและคณะ หลวงพ่อท่านเคยเล่าให้ผมฟังเป็นการส่วนตัวเมื่อปี 2548 ว่าท่านเคยมาอยู่ที่วัดแห่งนี้ ในปีนั้นมีพระมาจำพรรษาประมาณ 13 รูป สามเณร 1 รูป มีพระรูปหนึ่งมาพร้อมกับสามาเณรมาจากภาคอีสาน เขาว่าเป็นศิษย์หลวงปู่เทศก์ ส่วนสามเณรเคยบีบนวดหลวงปู่เทศก์ มาจากวัดหินหมากเป้ง จ.หนองคาย มาจำพรรษาอยู่ด้ววทราบภายหลังว่าพระรูปนี้เป็นหลานของดร.อำนวย วีรวรรณชื่อ ครูบาพงษ์ ในพรรษานั้นพระเณรจะแข่งกันทำความเพียร เราเห็นก็อยากทำบ้่ง พอตกกลางคืนนอนหลับฝันไปว่ามีพระรูปหนึ่งมาหาท่านมายืนยิ้มให้อยู่จำหน้าได้แม่น แต่ไม่ทราบว่าท่านเป็นใคร เพราะไม่รู้จัก พอตื่นมาตอนเช้าหลังจากฉันข้าวเสร็จ มีครูบารูปหนึ่งในวัดนั้น นำหนังสือมาให้อ่าน 1 เล่ม ผมก็รับไว้เพราะปกติชอบอ่านหนังสืออยู่แล้ว เชื่อมั้ยพอเปิดหนังสือเข้าไปด้านใน ก็ไปเจอภาพพระที่ฝันเมื่อคืนนี้เอง เขาเขียนชื่อไว้ว่า ท่านพระอาจารย์ มหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด อุดรธานี เคยได้ยินแต่ชื่อมาเหมือนกันว่าท่านเป็นพระอรหันต์ เพิ่งรู้จักท่านจริง ๆ ก็วันนี้เอง ก็เกิดปีติอย่างมาก แสดงว่าท่านเมตตามาโปรดเราแท้ ๆ หนังสือเล่มนั้นจะเขียนหลักการปฎิบัติไว้หมดชื่อ "หลักของใจ" นักปฎิบัติควรหาอ่าน ผมตั้งใจอ่านและนำหลักการต่าง ๆ มาใช้คิดว่าเกือบทุกวิธีที่ท่านแนะนำไว้ ผมลองทำมาหมด ตั้งแต่อดอาหาร ทรมานร่างกาย อาหารประเภทไหนควรฉันไม่ควรฉัน แต่ผมบวกเพิ่มสลับกับการฝึกโยคะแบบของท่านเจ้าคุณนรฯ ด้วย ใครแนะนำอะไรเอาหมด แข่งกันอดอาหาร ดื่มน้ำปัสสาวะ เขาว่าเวทนาไม่ค่อยเกิด จิตจะไม่ฟุ้งซ่าน ฉันข้าวเสร็จเข้าห้องน้ำกินวันละแก้ว(ให้เอาตรงกลางน่ะ หัวท้ายให้ทิ้งเสีย) เขาว่าจะทำให้นั่งสมาธิทน ร่างกายแข็งแรง ปกติเขาเอาไปดองกับลูกสะหมอ แต่นี้เล่นเพียว ๆ เลยครับ ใครจะลองดูก็ได้ครับ เท่าที่สังเกตดูถ้าวันไหนฉี่สีเข้ม มันจะเค็มครับ ถ้าวันไหนสีอ่อน มันก็รสชาติประแล่ม ๆ แต่ที่สำคัญมันจะเหมือนน้ำอุ่น ๆ ฉันข้าวก็ค่อย ๆ ลด แต่การฉันต้องฝึกสติตลอด แต่ละวันต้องรู้ว่ากินไปกี่คำ ค่อย ๆ ลดลง ๆ เหลือ 3 คำ จนบางวันไม่กินเลยกินแต่น้ำ มีอยู่วันหนึ่งกะว่าจะไปเดินจงกรมที่ในป่าตอนกลางคืน ตรงนั้นมีโกศใส่กระดูกคนตายเรียงเป็นแถว รวบรวมความกล้าเดินไปหลายครั้ง พอไปเดินสักพักมานึกว่าเอะถ้าผีมันโผล่เราจะทำยังงัยดี นึกแล้วรู้สึกกลัวก็ต้องเดินกลับกุฎิ ทำอย่างนี้หลาย ๆ ครั้งก็ยังกลัวอยู่เหมือนเดิม มาวันหนึ่งหลังทำวัตรเย็นเขาก็นั่งสมาธิกัน แต่ในช่วงแรกพระอาจารย์ท่านจะพูดธรรมะให้ฟังเราก็ทำสมาธิ ตอนแรกยังรู้อยู่ว่าท่าไหน มือวางไว้ยังงัย บริกรรมพุทโธพร้อมกับรู้ลมหายใจเข้าออก สักพักขาเริ่มปวดๆจนชาๆแล้วเย็น ปวดๆแล้วชาแล้วเย็น นี่ละ่เวทนามันหมุนเวียนเข้ามาตลอดก็อดทนเกาะคำบริกรรมพร้อมรู้ลมเข้าพุทออกโธ ไม่ทิ้งธุระ สักพักร่างกายเริ่ จะหายไปพร้อมๆกับลมหายใจก็เริ่มละเอียด ๆ พุทโธก็เริ่มละเอียด ๆ จนกระทั่งพุทโธหายไปโดยอัตโนมัติ ทีนี้ลมหายใจก็ละเอียดเหลืออยู่น้อยเต็มที่จนในที่สุดจับไม่ได้เลยว่ามีลมหายใจ ตอนนี้ทั้งพุทโธทั้งลมหายใจ ทั้งร่างกายหายไปหมด แต่จิตมันไปตั้งอยู่ที่หนึ่งแต่เรารู้ตัวอยู่ตลอดเวลา เราก็เกิดความสุข ปีติ อิ่มเอิบใจ ยิ่งนัก บางครั้งตัวก็เบา ตัวลอยอยู่ในอากาศ แต่มีสติรู้ตลอดว่าจิตเราตั้งตรงนี้ถึงจะมีความรู้สึกอะไรมาก็ตาม สักพักความสุข ความสบาย ความอิ่มใจ มันหายไป เหลือแต่ตัวรู้อย่างเดียว พยายามให้จิตมันนึกคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ มันก็เฉย พยายามให้จิตมันนึกคิดมันก็ ไม่นึกไม่คิดอะไรเลย เฉย แต่จิตสว่างตั้งเด่นอยู่อย่างนั้น เราก็จับตัวรู้นี้ไว้ในเมื่อมันไม่สามารถนึกคิดได้ ่เพราะมีสิ่งเดียวที่เราจะยึดเหนี่ยวได้ คือ ตัวผู้รู้อันนี้ พอเขามีสัญญาณหมดเวลาคิดว่าไม่เกิน 1 ชั่วโมง จิตก็เริ่มถอนออกมาค่อย ๆ รู้ลมหายใจพร้อม ๆ กับเริ่มรู้สึกทางร่างกาย พอออกจากสมาธิเดินออกมานอกโบสถ์ ใจมันอิ่มเอิบอยู่ตลอดเวลา
ความคิดเห็นของผู้เข้าชม
ชื่อผู้แสดงความคิดเห็น :
สถานะ : รหัสผ่าน :
ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง :
รหัสความปลอดภัย :