เมื่อตอนผู้เขียนอายุ 15 ปี (ประมาณปี 2528) มีเด็กผู้ชายตัวเล้ก ๆ คนหนึ่งมีความสนใจธรรม เคยเป็นเด็กวัดตั้งแต่ผู้เขียนอายุ 9 ขวบ ณ วัดมงคลสถิต (ในโตน) มีท่านพระครูมงคลกิตติคุณ (พ่อท่านชม) เป็นเจ้าอาวาสในขณะนั้น จนปัจจุบันนี้ เด็กชายตัวเล็ก ๆ คือ ผู้เขียนนั่นเองมีความสนใจธรรมะตามประสาเด็ก ๆ หลังจากเรียนจบประถม 6 แล้วต้องศึกษาต่อในชั้นมัธยมต่อไป ตอนแรกได้บอกพ่อแม่ว่า 'ผมอยากเรียนต่อเพราะอยากมีความรู้ ถ้าไม่ได้เรียนก็จะบวชเป็นสามเณรศึกษาทางธรรมะไปตลอด' เมื่อพ่อแม่ได้ฟ้งก็เลยให้เรียนต่อ จึงต้องลาออกจากการเป็นเด็กวัดด้วย เพื่อสะดวกในการเรียนต่อในเมือง ซึ่งผู้เขียนเป็นเด็กวัดตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นประถม 3 ถึงชั้นประถม 6 เมื่อเรียนจนถึงชั้นมัธยม 2 ในใจยังสนใจทางธรรมะอยู่เสมอ
วันหนึ่งมีงานเผาศพที่วัด ทางเจ้าภาพได้แจกหนังสือธรรมะแก่ผู้ร่วมงาน ผู้เขียนมาเจอหนังสือเล่มนั้นวางอยู่ที่บ้านของปู่ (บ้านเลขที่ 5 ต.ป่ากอ อ.เมือง จ.พังงา) จึงได้หยิบมาอ่านจำได้ว่าเป็นหนังสือธรรมะทั่วไปแต่ด้านท้ายเล่มได้สอนวิธีทำสมาธิแบบของหลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ พร้อมรูปประกอบ ชี้ฐานที่ตั้งของจิตฐานที่ 7 เหนือสะดือขึ้นมา 2 นิ้ว พอจำได้แล้วจึงอยากจะทดลองทำสมาธิขึ้นมา จึงได้แอบเข้าไปนั่งสมาธิในห้องนอนของคุณย่า ซึ่งอยู่ใกล้นอกชาน แล้วคนก็ชอบมานั่งคุยกันที่ใกล้นอกชานนั้น เพราะมีเก้าอี้ยาว สำหรับนั่งได้หลาย ๆ คน แต่ในช่วงที่ไม่มีคนอยู่ผู้เขียนจึงเข้าไปนั่งสมาธิ โดยกำหนดจิตวางไว้ตรงฐานที่ 7 เฉย ๆ ไม่ได้นึกคำบริกรรมว่าอะไรอยู่อย่างนั้น สักพักหนึ่งไม่เกิน 20 นาที จิตมันก็รวมมีความสุข ตัวเบา ตัวลอยอยู่กลางอากาศเหมือนเหาะได้ บางครั้งตัวหมุนไปเรื่อย ๆ บางครั้งตัวก็ขยายใหญ่ บางครั้งตัวก็ย่อลงเล็กนิดเดียวเท่าตัวมด จิตไปตั้งอยู่ที่ไหนก็ไม่ทราบ แต่มีความรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา เหมือนเรามองดูอะไรสักอย่าง แต่สามารถกำหนดให้หยุดได้ตามต้องการ เมื่อทุกอย่างหยุดลงได้กำหนดจิตในความว่างเปล่านั้น มองเห็นกระแสจิตขยายเป็นวงรอบ ๆ ตัวขยายออกไปโดยตัวเราเป็นจุดศูนย์กลาง ขยายไป ๆ ไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนเราโยนหินลงไปในน้ำแล้วเกิดคลื่นเป็นวงขยายออกไป แต่เป็นแสงนวล ๆ สักพักจิตก็เกิดความสว่างจ้าไปทั้งโลกคล้ายแสงนีออน แต่สีจะออกนวลกว่ามาก ใจรู้สึกมีความสุขมาก
วันต่อมาก็มานั่งทำสมาธิในห้องของคุณย่าอีก ปัจจุบันท่านก็อายุ 96 ปีแล้วครับ ที่มาทำสมาธิอีกเพราะติดใจในความสุข ปีติ ที่ได้รับในครั้งแรกที่ทำ ในครั้งนี้ก็ทำสมาธิแบบเดิม จิตก็เบาสบาย ตัวเบา ตัวลอยเหมือนเหาะได้ หมุนในอวกาศ อยู่ในความว่างเปล่า มีความสุขพิเศษสุดประมาณ พอความสุขนั้นหายไป สักพักก็เกิดกระแสจิตสว่างจ้าอยู่อย่างนั้น แต่เมื่อมีคนมานั่งด้านนอกแถวม้านั่งได้ยินคนเขาคุยกันว่า 'ไอ้เด็กนี่มันนอนทั้งวันเลย' เราได้ยินก็นึกขำในใจเพราะผู้เขียนไม่ได้มานอนหลับอย่างที่เขาพูด มานั่งสมาธิต่างหาก ในวันอื่นผู้เขียนก็มักแอบเข้าไปนั่งสมาธิในห้องของคุณย่าทุกครั้งไป แต่ทำไป ๆ จิตก็ไม่ได้ก้าวหน้าไปกว่านี้ เพราะไม่มีใครแนะนำ ขณะที่อยู่ในสมาธิได้ถามขึ้นในใจว่า วิธีการที่เราทำอยู่มันสามารถตัดกิเลสได้อย่างไร วิธีการที่ทำนั้นถูกต้องหรือไม่ จิตได้ตอบกลับมาว่า ยังไม่ถูกต้องนัก พอออกจากสมาธิแล้วก็แน่ใจว่ายังไม่ใช่วิธีการที่ดีที่สุด จึงไปถามผู้ใหญ่ คนนั้นคนนี้ก็ไม่มีใครทราบ ว่ามีวิธีการทำสมาธิแบบอื่นอีกหรือไม่ พอไปถามคุณอาท่านบอกว่าเขาบอกว่าให้นึกพุทโธ พร้อมกำหนดลมหายใจเข้าออก คือหายใจเข้านึกคำว่า 'พุท' หายใจออกนึกคำว่า 'โธ' ไปเรื่อย ๆ หลังจากนั้นจึงใช้คำบริกรรมแบบนี้มาตลอด และเมื่อมีเวลาว่างผู้เขียนมักแอบไปนั่งสมาธิในห้องนอนของคุณยายเป็นประจำครับ
ทองใหญ่ อ.
|